111 รวมเข้าชม, 1 เข้าชมวันนี้
]
นาย Heng Swee Keat รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้กล่าวเปิดงานสัปดาห์นวัตกรรมและเทคโนโลยีของสิงคโปร์ (SWITCH) ประจำปี 2565 ซึ่งจัดโดย Enterprise Singapore ที่ศูนย์ประชุมรีสอร์ต เวิลด์ ว่า สิงคโปร์จะลงทุน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 71 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อดึงดูดและพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงจะเปิดศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ 3 แห่ง ซึ่งจะช่วยให้บรรดาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้ทดสอบไอเดียใหม่ๆ ครอบคลุมด้านต่างๆ ได้แก่ วัสดุที่ล้ำสมัยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเกษตรในเมือง ความงามและการดูแลตัวเอง
.
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของสิงคโปร์มีอยู่ 3 ประการ คือ การขาดแคลนบุคลากร, เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และความล่าช้าในการสร้างความยั่งยืน
.
ทั้งนี้ สิงคโปร์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนคนเก่งด้าน AI ในประเทศเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้า รวมถึงจะก่อตั้งกองทุนการวิจัยแห่งชาติแห่งใหม่ สำหรับ AI โดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดเหล่านักวิจัยแถวหน้าเข้ามาทำวิจัยในประเทศ และช่วยฝึกฝนบุคลากรรุ่นใหม่ๆ ต่อไป
.
นาย Heng ได้เรียกร้องให้ผู้มีความสามารถระดับสูงเข้ามาทำงานในสิงคโปร์ ในขณะที่ระบบการศึกษาทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาเพื่อให้ทันกับความต้องการคนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของนวัตกรรม โดยมองว่าผลตอบรับแบบเดิมๆ สำหรับการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการ ไปจนถึงหลักสูตร และการเรียนรู้แบบเต็มเวลานานหลายปีของนักศึกษาก่อนจะสำเร็จการศึกษานั้น ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว จึงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับบรรดาธุรกิจ SMEs ที่จะก้าวให้ทันและเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้
.
การก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ทำให้ธุรกิจ SMEs จำนวนมากสามารถขับเคลื่อนธุรกิจของตนไปได้ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ แต่เพื่อให้เติบโตต่อได้ จำเป็นต้องคิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้เช่นกัน
.
ทั้งนี้ ความพยายามในการพัฒนาอย่างยั่งยืนดำเนินไปอย่างล่าช้าเกินไป เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และผลจากสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้เกิดวิกฤตที่เร่งด่วนกว่ามาก วิกฤตด้านพลังงานในปัจจุบันก็มีส่วนทำให้เกิดการชะงักในการฟื้นฟูสีเขียวจากโรคโควิด 19 ทั้งนี้ สิงคโปร์กำลังนำความยั่งยืนกลับมาด้วยการเก็บภาษีคาร์บอน และเตรียมระดมเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
.
ความพยายามในการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเพิ่มขึ้นด้วยการค้นหาวิธีที่สร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ เช่น การพัฒนาผ่าน Sustainability Open Innovation Challenge ของประเทศ โดยเป้าหมายในปีนี้คือการทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นมีความยั่งยืนมากขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 10% ต่อปีทั่วโลก
.
นาย Heng ยังทิ้งท้ายว่า สิงคโปร์สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับการขับเคลื่อนนวัตกรรมระดับโลกได้ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการขาดแคลนผู้มีความสามารถ และทำให้มั่นใจว่ามีการนำเทคโนโลยีไปใช้แพร่หลายมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมากขึ้น และให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มความพยายามเป็น 2 เท่า ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ที่มา:AEC Connect
ASEAN Studies Centre