275 รวมเข้าชม,  1 เข้าชมวันนี้

 

 วิทยาลัยสงฆ์พิจิตร ได้รวบรวม 10 เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับวันพระราชสมภพ ของพระองค์ท่านเมื่อย้อนไปในปี พ.ศ. 2495 และบางช่วงเหตุการณ์สมัยทรงพระเยาว์เพื่อร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายพระพรในวโรกาสอันน่าชื่นชมยินดีนี้

1.ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ประสูติ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2495  ได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูปการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร”

2.พระนาม “วชิราลงกรณ” นั้น สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงตั้งถวาย มาจาก “วชิรญาณ” พระนามฉายาขณะทรงพระผนวชในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวกกับ “อลงกรณ์” จากพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

3. ในวันพระราชสมภพนั้น ศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้บันทึกบรรยายบรรยากาศก่อนเวลาพระราชสมภพว่า “…วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า ฝนไม่ได้ตกมานาน…นายแพทย์ผู้ถวายการประสูติเข้าประจำที่ สักครู่ก็ประสูติพระราชกุมาร เวลา 17 นาฬิกา กับ 45 นาที ในนาทีเดียวกันนั้นเองฝนที่แล้งมาตลอดฤดูก็เริ่มโปรยละอองลงมา ดูคล้ายๆ ฟ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับการประสูติครั้งนี้…อารามดีใจสมประสงค์ของดวงใจทุก ๆ ดวง นายแพทย์ที่ถวายการประสูติ ซึ่งพร้อมที่จะบอกแก่ที่ประชุม ณ พระที่นั่งอัมพรสถานว่า พระราชโอรส หรือพระธิดา กล่าวออกมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นกังวานว่า ผู้ชาย แทนที่จะว่า พระราชโอรส…”

4.แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ระบุว่า
นายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งบังคับบัญชาสำนักพระราชวัง มีความยินดีที่จะแถลงแด่ประชาชน เพื่อทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ประสูติพระราชโอรสแล้ว ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2495 เวลา 17.45 นาฬิกา สมเด็จพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ทรงพระสำราญดีทั้งสองพระองค์

5.หลังวันพระราชสมภพ 1 เดือนกับอีก 18 วัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง ร.9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ตามโบราณราชประเพณี ในวันที่ 14 และ 15 กันยายน 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในพระราชพิธีนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้มีพระลิขิตไปถวายพระพรชัยมงคลในนามแห่งคณะสงฆ์ไทย

6.ในพระราชพิธีดังกล่าว สภาวัฒนธรรมแห่งชาติได้จัดขับไม้มโหรีถวายพระพร มีการถ่ายทอดเสียงในพระราชพิธีทางวิทยุไปทั่วประเทศ เนื้อหามีความไพเราะยิ่ง ดังนี้

“เห่เอยพระหน่อนาถ                   พระเยาวราชอดิศร

หน่อเนื้อพระชินวร                      จำเริญสวัสดิมงคล

เทพเชิญเจริญพักตร์                   พระยอดรักมาปฏิสนธิ์

ปวงข้าประชาชน                        ประชุมชื่นนิยมชม

เห่เอยเห่กล่อม                           พระทูลกระหม่อมจะบรรทม

ข้าบาทขอบังคม                         ขับประสมดนตรี

ฟังเสนาะเพราะสำเนียง               ประสานเสียงดีดสี

ขับไม้มโหรี                                บำเรอบาทให้ไสยา”

7.ปีพ.ศ.2499 ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นเป็นนักเรียนอนุบาลรุ่นที่ 2 ณ พระที่นั่งอุดร ในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ซึ่งขณะนั้นเป็นที่ประทับ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 เสด็จไปประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างอาคารเรียนชั้นเดียวในบริเวณสวนจิตรลดา และพระราชทานนามโรงเรียนว่า โรงเรียนจิตรลดา ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนนี้ จนถึงปีพ.ศ. 2505

8.ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มีด เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2509 จากนั้นทรงศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซท ระหว่างปี 2509-2513 ด้วยพระอุปนิสัยโปรดความมีระเบียบวินัย และสนพระราชหฤทัยในกิจการเกี่ยวกับกองทัพ โปรดการสเด็จเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่าง ๆกับพระราชบิดานับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงทรงเข้ารับการศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ เขตพารามัตตา นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ช่วงเดือนส.ค. 2513 ถึง พ.ค. 2514 จากนั้นในเดือนม.ค. 2515 จึงทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา

9.เมื่อมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารตามโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515 มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร” นับเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

10.ในวาระอันเป็นมงคลนั้น พระองค์ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ความว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นสยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอิสริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญา ความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุข และความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิต ร่างกายจะหาไม่

 บัดนี้กาลเวลาผ่านไป ได้เป็นที่ประจักษ์ว่าตลอดระยะเวลา นับแต่ยังทรงพระเยาว์ตราบจนปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงยึดมั่นในพระราชปฏิญญามาโดยตลอด

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

Recommended Posts