

หดสรง จารีตที่ถูกห้ามเมื่อคณะสงฆ์ส่วนกลางพยายามเปลี่ยนอีสานให้เป็นไทย
217 รวมเข้าชม
217 รวมเข้าชม ] หดสรง จารีตที่ถูกห้ามเมื่อคณะสงฆ์ส่วนกลางพยายามเปลี่ยนอีสานให้เป็นไทย หดสรง มองอย่างทั่ว ๆ ไป พิธีกรรมหลักก็คือ “น้ำ” เป็นหัวใจสำคัญของการประกอบพิธีกรรม น้ำกับคนอาคเนย์สัมพันธ์กันอย่างมิอาจแยกขาด ตำนานอาหารการกินของคนลุ่มน้ำโขงก็คือน้ำ เช่น ตำนานยักษ์สะลึคึที่มีอวัยวะเพศอันมหึมาเป็นเอกลักษณ์ก่อการเป็นผู้คนของลุ่มน้ำสายนี้ ในด้านการเมืองน้ำยังเข้าไปเป็นส่วนทำให้สถานะของมนุษย์เปลี่ยนไปสู่ภาวะตัวแทนเทพ เช่น พิธีราชาภิเษก รวมทั้งประเพณีอื่น ๆ ที่เนื่องด้วยน้ำ ลอยกระทง สงกรานต์ เป็นต้น พิธีกรรมหดสรงนั้น แม้ไม่สามารถระบุว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน แต่เรามีต้นเค้าและหลักฐานที่อธิบายได้ถึงพลวัตประเพณีหดสรงว่าอยู่กับวัฒนธรรมลาว อีสาน มานานนับร้อยปี และยังเป็นจารีตร่วมเดียวกันกับที่ปรากฏในล้านาและเชียงตุงด้วย อิทธิพลที่ส่งผลต่อประเพณีหดสรงหากมองตามรูปแบบพิธีกรรมจะพบถึงผสมทั้งพุทธ พราหมณ์และผี หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงตันตริกและร่องรอยวัชรยานในอุษาคเนย์ในพิธีกรรมนี้คือ “หมวกกาบ” อันเป็นสิ่งหลงเหลืออยู่ของแนวปฏิบัติดังกล่าวคือความเชื่อเรื่อง “อาทิพระพุทธเจ้า” แต่ตรงนี้รายละเอียดของพิธีกรรมจะแปลกแยกไปตามท้องถิ่น ซึ่งหากมองผ่านประวัติศาสตร์สิ่งนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมปาละ และก็ยังปรากฏร่องรอยนี้ในเชียงใหม่ด้วยที่พบพระพุทธรูปใส่มงกุฏลักษณะหมวกกาบ เมื่อการหดสรงประกอบขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐจารีตในอดีต เช่น ล้านนา ล้านช้าง หมายความว่า การประกอบพิธีกรรมเกิดขึ้นจากรัฐเป็นส่วนหนึ่งและประชาชนร่วมด้วย ดังจะพบว่าลำดับขึ้นของพระสงฆ์ที่มีชื่อเรียกและหน้าที่ต่างกันไปตามคุณสมบัติด้วย บางตำแหน่งระบุหน้าที่ไว้เป็นเฉพาะว่าเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ ในอีกด้านหนึ่งอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ให้ความเห็นว่าในตัวพิธีกรรมสำคัญมากเพราะชาวเป็นคนทำเองไม่ใช่รัฐ กล่าวคือชาวบ้านเป็นคนยกย่องพระสงฆ์รูปนั้น ๆ ที่พวกเขาเคารพขึ้นสู่พิธีเถราภิเษก เหตุใดหดสรงจึงถูกห้ามในอีสาน ? แน่นอนว่าเพราะเป็นสิ่งรัฐไม่ต้องการ ถ้าเราย้อนเวลากลับไปช่วงการเปลี่ยนดินแดนอีสาน ล้านนาให้เป็นไทย จะพบว่าอิทธิพลของสยามพยายามลดและตัดสิ่งที่ไม่ใช่ไทยออกไป แน่นอนเช่นกันว่า หดสรงก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ไม่ใช่ไทยจึงถูกทำให้หมดไปในช่วงเวลานั้น เพราะรัฐไทยต้องการการรวมศูนย์การปกครอง ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาจนถึงยุคเปลี่ยนการปกครอง นั่นหมายความว่า อำนาจของการเลือกพระเถระของประชาชนถูกเอากลับไปสู่อำนาจรัฐ โดยมีรูปแบบปกครองใหม่ ธรรมเนียมใหม่ จารีตใหม่ที่ได้รับรองจากรัฐแล้ว คือรัฐเป็นควบคุมหรือบอกว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี อันนี้ควรถอดหรือยกเลิก ประชาชนมีหน้าที่ปฏิบัติตาม หลักฐานสำคัญที่ชี้เห็นว่ารัฐส่วนกลางพยายามลดทอนจารีตนี้ลงคือมติการประชุมร่วมระหว่างฝ่ายบ้านเมืองมีพระยาวิเศษสิงหนาท สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุบลราชธานี กับ ฝ่ายสงฆ์มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เมื่อยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระราชมุนี มหาสังฆปาโมกข์ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี ในวันที่ 9 เมษายน 2456 จากผลการประชุมดังกล่าวนำไปสู่การประกาศเลิกสมณยศอย่างโบราณ ใจความสำคัญของการยกเลิกยศแบบอีสานโบราณนั้นเพราะมีความเห็นว่าเป็นของลาวและเจ้าลาว อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับ พรบ การปกครององค์กรสงฆ์ที่ใช้อยู่ด้วย ในประเด็นผู้เขียนอยากชวนมองผ่านตัวตนของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ว่าแม้ท่านจะเป็นอุบลราชธานี แต่ท่านได้รับการศึกษาตามแบบคณะสงฆ์สมัยใหม่แล้ว และได้รับหน้าที่อำนาจการปกครองคณะสงฆ์