197 รวมเข้าชม
197 รวมเข้าชม ] “อำนาจกับความรู้” ถ้ามีความรู้ก็นำไปสู่การควบคุม หากมีการควบคุมก็ต้องอาศัยความรู้แม้อำนาจกับความรู้จะเป็นอิสระต่อกัน แต่ต้องไปด้วยกันเสมอ (Power/Knowledge)อำนาจทำให้เรากลายเป็นวัตถุเพื่อการควบคุมตรวจตาและจ้องมองของอำนาจ แต่อีกด้านอำนาจทำให้เรากลายเป็นอัตตบุคคล ที่ต้องควบคุมตรวจสอบตัวเอง ไม่ให้ล้ำเกินไปจากเส้นแบ่งและเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ที่กำหนด “ความเป็นปกติ” ของคนในสังคม Michel Foucault, 1984 1979 (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร,2560) เป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับสัปดาห์นี้ ที่ทางกองบรรณาธิการได้ร่วมพูดคุยกับอาจารย์ ปริญญา นิกรกุล อาจารย์ประจําภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถึงปัญหาที่เป็นปัญหาของรัฐไทยมาโดยตลอดและดูเหมือนว่าถึงจะผ่านเวลาไปนานเท่าใด ปัญหาเหล่านี้ก็ยังไม่ถูกสะสางเสียที สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นปัญหาจุดนี้คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งเราอาจจะพูดได้ว่าเป็นความรุนแรงที่เกิดจากรัฐ บางพื้นที่ลุกลามจนก่อเกิดเเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากผู้มีอำนาจในรัฐเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ปัญหานี้ยิ่งตอกย้ำความบอบช้ำที่มีอยู่ให้หนักขึ้นไปกว่าเดิม บทความต้องการชี้ให้เห็นประเด็นที่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง ของคนกับป่า ตัวเร้าปัญหาหนึ่งที่เด่นชัดคือระบบราชการ และความไม่ยุติธรรมทางโครงสร้าง จึงทำให้คนอยากที่จะเข้าถึงทรัพยพากรได้ โดยเฉราะคนชายขอบ เพราะพวกเขาโดนกระทำจากโครงสร้างที่อยุติธรรม ปัญหาระหว่างรัฐ คน ป่า อยู่ตรงไหนบ้างครับ เพื่อให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นผมขอย้อนเวลาเพื่อสืบเสาะปฏิบัติการของรัฐสักเล็กน้อย ในเรื่องภาษีอากร สัมปทานป่าไม้ เครื่องมือรวมศูนย์อํานาจในล้านนา สู่กรุงเทพฯ (เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว 2564) เพื่อให้เราได้เห็น ภาพที่ชัดมากขึ้น เดิมทีล้านนามีระบบการจัดเก็บภาษีอากรของตนเองโดยที่สยามไม่เคยเข้าไปควบคุม แต่เมื่อ กรุงเทพฯ ส่งข้าหลวงขึ้นไปกํากับราชการที่เมืองเชียงใหม่จําเป็นต้องใช้เงินในการทํางานต่าง ๆ ระยะแรกข้าหลวง เจรจากับเจ้าเมืองขอรายได้ 1 ใน 3 จากการเก็บภาษีอากรเมืองเชียงใหม่ เมืองลําปาง และเมืองลําพูน ส่วนที่เหลือ เป็นของเจ้าเมืองนั้น ๆ แต่เมื่อสยามเริ่มวางระบบราชการอย่างจริงจังทําให้เงิน 1 ส่วน ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ในเวลานั้นรัชกาลที่ 5 มีพระราชดําริจัดตั้งภาษี 100 ชัก 3 ทั่วพระราชอาณาเขตเพื่อเพิ่มฐานะการคลัง ด้านรายได้จากการป่าไม้ซึ่งเป็นรายได้หลักของบรรดาเจ้านาย ก่อนหน้าการจัดตั้งกรมป่าไม้ กรุงเทพฯ มี รายได้จากการทําไม้ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เจ้านายล้านนามีรายได้ ทั้งค่าเปิดป่า ค่าให้สัมปทานป่า และค่าตอไม้ รายงาน รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นถึงรายได้ ดังกล่าวจึงมีพระราชประสงค์ดึงรายได้จากการทําไม้เข้าสู่ส่วนกลาง ใน พ.ศ. 2439 กรุงเทพฯ เชิญบริษัททําไม้ของอังกฤษมาวางแผนจัดตั้งกรมป่าไม้และขอยืมตัว